จะเกิดอะไรขึ้น ถ้า LTF ไม่ต่ออายุหลังสิ้นปีนี้?ถ้ารัฐบาลชุดใหม่ที่จะเข้ามาบริหารประเทศต่อยังยืนยันเช่นเดิม ก็จะแปลว่า ปีนี้เป็นปีสุดท้ายที่เราจะใช้สิทธิซื้อ LTF เพื่อลดหย่อนนะครับ คราวนี้ มันมีหลายประเด็นที่เราในฐานะผู้เสียภาษีอาจสงสัยและเกิดตั้งคำถามขึ้นมา ผมลองรวบรวมคำถาม และตอบเป็นข้อๆ ให้หายสงสัยตามนี้ก็แล้วกัน
1.ถ้าไม่ต่ออายุ LTF เงินที่ครบเงื่อนไข ควรขายหรือย้ายกองออกไปไหม?
อันนี้แล้วแต่วัตถุประสงค์ของเงินลงทุนของเราเอง ผมเห็นหลายกรณี นักลงทุนที่ลงทุนใน LTF แล้วครบกำหนด เขาไม่รู้จะเอาเงินไปทำอะไรต่อ และพึงพอใจกับผลการดำเนินงานของกองทุนในช่วงที่ผ่านมา ก็ถือต่อไป และให้ผู้จัดการกองทุนบริหารต่อ หากยังทำได้ดี เราก็ได้ผลตอบแทนจากการลงทุนเพิ่ม ดีกว่าไถ่ถอนออกมาแล้วเอาไปฝากประจำ หรือ ออมทรัพย์เอาผลตอบแทนต่ำติดดินครับ
แต่ถ้าจะโยกเงินออกมา สิ่งที่ต้องคิดคือ เรามีสินทรัพย์เป้าหมายที่จะลงทุนแล้วหรือยัง เปรียบเทียบแล้ว จะให้ผลตอบแทนคุ้มความเสี่ยงหรือเปล่า และอย่าลืมว่า การเข้าออกกองทุนมันมีค่าธรรมเนียม ซึ่งคุณคงต้องเอาส่วนนี้มาพิจารณาประกอบด้วย
- เม็ดเงิน LTF ที่ถอนออกไป จะทำให้ตลาดหุ้นตกรึเปล่า?
หลายคนเชื่อว่า พอไม่ต่ออายุ LTF ก็แปลว่า เม็ดเงินในกองทุน LTF จะค่อยๆ ลดลง เพราะนักลงทุนทยอยไถ่ถอนออกไปเรื่อยๆ คำถามคือ มันจะถึงขั้นถอนกันจนตลาดหุ้นตกตามแรงขายไหม คำตอบคือ เม็ดเงินลงทุนใน LTF ทั้งหมด คิดเป็นเพียงแค่ประมาณ 4 % ของ Market Cap ของตลาดหุ้นไทย และเงื่อนไขการไถ่ถอน นักลงทุนไม่สามารถไถ่ถอนได้ทั้งหมดในปีเดียวอยู่แล้ว เพราะติดเงื่อนไขถือครองให้ครบ 7 ปีปฏิทิน
ซึ่งก็หมายความว่า เม็ดเงินลงทุนใน LTF จะค่อยๆ ถูกทยอยขายออกมาในอีก 6-7 ปีข้างหน้า (หากทุกคนเห็นตรงกันว่าต้องขายออก) แต่มุมมองส่วนตัวผมก็เชื่อว่า มีนักลงทุนจำนวนหนึ่งที่จะไม่ขายออกมา และถือเงินลงทุนก้อนนั้นต่อไป ทำให้เชื่อว่าไม่มีผลต่อตลาดหุ้นไทยเลยครับ ตรงนี้ขอให้สบายใจได้ระดับหนึ่ง
- กองทุนจะติดลบไหม ถ้าไม่มีเงินใหม่เข้ามาใน LTF?
โดยปกติแล้ว ทีมบริหารกองทุน หรือ ผู้จัดการกองทุน แต่ละบลจ. จะมีการกำหนดกลยุทธ์และการลงทุนตามแต่ละโมเดลซึ่งเป็นไปได้นโยบายการลงทุนที่ระบุไว้ในหนังสือชี้ชวน ซึ่ง LTF ของแต่ละบลจ. ส่วนใหญ่ เป็นหนึ่งในโมเดลการลงทุน ซึ่งมีกองทุนรวมปกติ ที่ไม่ใช่ LTF ที่ต้องบริหารจัดการต่ออยู่แล้ว ดังนั้น ในแง่การทำงานของผู้จัดการกองทุน จึงไม่ได้เกิดความยากมากขึ้น จากการที่ไม่มีเงินลงทุนเข้ามาใหม่ใน LTF
และจากการศึกษาของทีม Finnomena Analytics เราพบว่า ผลการดำเนินงานกองทุนรวมที่ไม่มี Flow ไหลเข้าออกจำนวนมาก ให้ผลตอบแทนสูงกว่า กองทุนรวมที่มีเม็ดเงินลงทุนไหลเข้าออกในระยะสั้น อย่างมีนัยยะสำคัญ ซึ่งตีความได้ว่า กองทุนที่นักลงทุนทำการซื้อขายบ่อยๆ อาจทำให้ผู้จัดการกองทุนต้องคำนึงถึงการบริหารสภาพคล่อง จนมีผลต่อผลการดำเนินงานของกองทุนบ้าง ซึ่งถ้าเชื่อในประเด็นนี้ ก็แปลว่า การไม่มีเงินใหม่เข้าลงทุนใน LTF อาจเป็นการดีต่อผลการดำเนินงานกองทุนด้วย
จะยกเว้นก็แต่ว่า ถ้าขนาดของกองทุน LTF นั้นๆ ที่เราลงทุนอยู่ มีขนาดเล็กมากเกินไป ก็อาจส่งผลกระทบต่อแรงจูงใจในการบริหารพอร์ตของผู้จัดการกองทุนให้ลดลง นักลงทุนจึงควรคิดทั้งสองมุม และติดตามสถานการณ์ต่อเนื่องด้วย
- NAV จะลดลงเรื่อยๆ รึเปล่า?
นักลงทุนหลายคนเข้าใจผิดว่า เงินขายออกจากกองทุนเยอะๆ แล้วจะทำให้กองทุนมี NAV ที่ลดลง ยกตัวอย่างรูปด้านล่าง ซึ่งเป็นราคาต่อหน่วย และมูลค่าทรัพย์สินสุทธิของกองทุน NAV จะลดลงหรือไม่ ขึ้นอยู่กับราคาของสินทรัพย์ที่กองทุนไปลงทุนในเวลานั้นๆ มากกว่าว่าราคาสูงขึ้นหรือลดลงหรือเปล่านะครับ - กองทุนรวม LTF ที่มีอยู่ไว้แล้ว จะต้องถูกปิดลงไปด้วยหรือเปล่า?
กองทุนรวมนั้นๆ จะยังคงมีสถานะตามกฎหมายอยู่ ถึงแม้จะไม่ได้สิทธิลดหย่อนแล้ว โดย บลจ. น่าจะเปลี่ยนนโยบายกองทุนให้เป็นกองทุนเปิดที่สามารถซื้อขายได้ทุกวันทำการเหมือนกองทุนรวมทั่วไป และนักลงทุนที่ใส่เงินใหม่เข้าไป ก็จะไม่ได้รับสิทธิประโยชน์ใช้เป็นค่าลดหย่อนภาษีประจำปีอีกต่อไป
แต่ถึงอย่างนั้น มันก็มีเงื่อนไขครับ เพราะถ้ากองทุนมีขนาดเล็กลงมาก จนบลจ.นั้นๆ เห็นว่า ค่าใช้จ่ายที่เก็บจากกองทุนอยู่ในระดับที่ไม่คุ้มทุน ทางบลจ. อาจมีการเสนอถือหน่วยเพื่อควบรวมกองทุนที่มีนโยบายการลงทุนเหมือนกัน ให้ได้ Economies of Scale หรืออาจเสนอผู้ลงทุนที่ครบเงื่อนไขระยะเวลาลงทุน ให้สับเปลี่ยนไปยังกองทุนที่มีนโยบายใกล้เคียงกัน และให้สิทธิลดค่าธรรมเนียมการสับเปลี่ยนในช่วงเวลานั้นๆ ก็ได้ครับ
- ถ้าไม่ต่ออายุมาตรการส่งเสริม LTF เราสามารถขายได้ทุกก้อนที่ซื้อมาก่อนเลยไหม?
ใจเย็นๆ นะครับ การไม่ต่ออายุ LTF คือ การไม่ให้สิทธิกับเงินก้อนใหม่ที่จะเข้ามาลงทุน ไม่ได้หมายความว่า เงินก้อนเก่าๆ ที่ลงทุนมาแล้วจะไม่ได้สิทธิด้วย ดังนั้น เงินลงทุนก้อนที่เราซื้อก่อนปี 2562 เรายังจำเป็นต้องถือให้ครบตามเงื่อนไขเดิม คือ 7 ปีปฏิทิน ไม่เปลี่นแปลงไปจากนี้แต่อย่างใดครับ
ซึ่งถ้าดูจากเงื่อนไขการขายคืนหน่วยลงทุนได้ ที่มีการปรับเปลี่ยนจาก 5 ปีปฏิทิน เป็น 7 ปีปฏิทินเมื่อปี 2559 ก็จะพบว่า ปี 2563 และปี 2564 กอง LTF จะไม่มีเงินถูกขายออกมา ทำให้ขนาดกองทุนจะไม่ได้ลดลงอย่างมีนัยสำคัญ และจะมีการขายอีกครั้งคือในปี 2565 ซึ่งมาจากยอดซื้อ LTF ในปี 2559 ที่ใช้เงื่อนไขใหม่ในการถือครองคือ 7 ปีปฏิทินนั่นเองครับ
- ถ้าถือครบกำหนดขายคืนได้ แต่ตอนนั้น NAV ยังขาดทุน ควรทำอย่างไร?
ขึ้นอยู่กับมุมมองของนักลงทุนครับ เราคงต้องพิจารณาดูว่า ปัญหาขาดทุนที่เกิดขึ้น มาจากเงื่อนไขของตลาดหุ้นที่มันผันผวนเป็นขาลง หรือเกิดจากผลการดำเนินงานของกองทุนเองที่อาจจะไม่ดีเท่ากองทุนอื่นๆ ซึ่งปัจจุบันมีการเปิดเผย Peer Performance เปรียบเทียบผลตอบแทนกองทุนกับค่าเฉลี่ยของกลุ่มไว้ให้เราได้ตรวจสอบทุกเดือน รวมถึงศึกษานโยบาย วิธีการลงทุนของกองทุนว่าถูกจริตนิสัยกับเราหรือเปล่า ถึงตอนนั้นค่อยมาพิจารณาอีกทีครับว่า จะถือไปก่อน หรือว่าจะขายดี
ยกตัวอย่างการวิเคราะห์ความสามารถของกองทุน สามารถดูได้ใน Mobile Application ของ FINNOMENA ใน Function “Fund” และเลือกเมนูผลตอบแทน
บทความนี้เพื่อใช้สำหรับศึกษาเบื้องต้นเท่านั้น มิได้มีเจตนาในการชี้นำการลงทุนแต่อย่างใด