สิ่งที่คนส่วนใหญ่เข้าใจผิดในการลงทุนกองทุนรวมคือทุกๆ คนพยายามที่จะหากองทุนที่มีโอกาสสร้างผลตอบแทนมากที่สุด หารู้ไม่ว่าในความเป็นจริงแล้วการควบคุมความผันผวนต่างหากที่ถือว่าเป็นสิ่งสำคัญกว่าการพยายามสร้างผลตอบแทนสูงสุด จากภาพด้านบนจะเห็นว่ากองทุน A นั้นทำผลตอบแทนสูงมากๆ บางปีสูงถึง 40% แต่ก็มีบางปีที่ขาดทุนสูงถึง -30% เช่นกัน หากลงทุนด้วยเงิน 100 บาทในปีแรก ปีที่ 5 เงินก้อนนี้จะโตเป็น 125 บาท หรือ 25% โดยประมาณ
เทียบกับกองทุน B ที่ทำผลตอบแทนได้ไม่สูงเท่า ได้เพียง 6% ต่อปีแต่ตอนสุดท้ายกลับทำผลตอบแทนรวมได้สูงกว่า ที่ 34%
นี่คือพลังของผลตอบแทนที่ต่อเนื่องความผันผวนต่ำ ดังคำกล่าวที่ว่าช้าๆ ได้พร้าเล่มงาม
“บางครั้งการลงทุนรอคือการลงทุนที่ดีที่สุดของนักลงทุน”
ในช่วงปีที่ผ่านมามีกองทุนที่โดดเด่นเรื่อง Minimum Volatility หรือเน้นลดความผันผวนโดยเฉพาะคือ Phatra Smart Minimum Volatility กองทุนนี้ผมยังไม่ได้เจาะลึกลงไปมากนักแต่เท่าที่ดูข้อมูลเบื้องต้นแล้วนับว่าเป็นอีกกองทุนที่น่าสนใจเลยทีเดียวกองทุน Phatra Smart MV ดีอย่างไร?
-มีกลยุทธ์เน้นลดความผันผวนของผลประกอบการ มีโอกาสได้ผลตอบแทนแบบนิ่งๆ
-ตั้งแต่จัดตั้งทำผลตอบแทนได้ 9.55% ต่อปี
-แม้ผลตอบแทนจะแพ้ดัชนีชี้วัดเล็กน้อยแต่ความผันผวนต่ำกว่ามากที่ 9.88% เทียบกับ 11.69% ของดัชนีชี้วัด
-กองทุนมีขนาดไม่ใหญ่มาก เพียงแค่ 485 ล้านบาทเท่านั้น ถือว่ายังเล็ก และทำให้ผู้จัดการกองทุนทำงานง่าย (ข้อมูลวันที่: 31 ก.ค. 2562)-กองทุนมีนโยบายจ่ายเงินปันผล 100% ของกำไร
-มูลค่าซื้อขั้นต่ำเพียง 1,000 บาทเท่านั้น
-ปัจจุบันยกเว้นค่าธรรมเนียมซื้อ-ขายด้วย
เน้นลดความผันผวนลดอย่างไร?
กองทุนบางกองลดความผันผวนด้วยการเพิ่มตราสารหนี้ หรือกองทรัสต์อสังหาฯ เข้าไป แต่กองทุนนี้เน้นลงทุนในหุ้นของบริษัทจดทะเบียนในไทยไม่น้อยกว่า 80% ของสินทรัพย์สุทธิ อันนี้ถือว่ามีหุ้นเยอะนะครับ แปลว่ากองทุนคงลดความผันผวนด้วยการเลือกหุ้นที่มีปันผลและผลประกอบการเติบโตต่อเนื่องเป็นหลัก (ข้อมูลวันที่ 31 ก.ค. 2562 กองทุนถือหุ้นทั้งหมด 99.94%) นอกจากการเลือกซื้อสินทรัพย์ที่เน้นหุ้นไทยในประเทศแล้วกองทุนยังใช้ระบบในการคัดกรองหุ้นต่างๆ มาช่วย โดยเลือกเอาหุ้นชุดที่มีความผันผวนต่ำที่สุดออกมาจากระบบ จึงทำให้สุดท้ายได้กองหุ้นที่มีความผันผวนต่ำออกมาเป็นหลักทรัพย์ที่ Phatra Smart MV ลงทุนครับ
พอร์ตการลงทุนเป็นอย่างไรบ้าง?
สั้นๆ ง่ายๆ ครับ เน้นหุ้นถูก ปันผลดี โตไม่มากแต่โตทุกปี กระจายการลงทุนในหลายอุตสาหกรรม ไม่กระจุกตัวทำให้ได้รับผลดีจากการกระจายความเสี่ยงหุ้นที่กองทุนเลือกมาหลายๆ ตัวล้วนแล้วแต่มีค่า P/E อยู่ต่ำกว่าค่า P/E ของ SET ซึ่งอยู่ประมาณ 18-19 เท่า เช่น TISCO มี P/E ที่ 11.72 เท่า, EGCO มี P/E ที่ 16.66 เท่า, KKP มี P/E ที่ 9.99 เท่า รวมไปถึงหลายๆ ตัวมีการปันผลในอัตราสูงเช่น INTUCH ปันผล 4.25% และ TISCO 6.76% (ข้อมูลวันที่: 12 ก.ย. 2562)
กองทุนนี้เหมาะกับใคร
กองทุนนี้เหมาะกับนักลงทุนที่มองหาผลตอบแทนที่ต่อเนื่อง ชื่นชอบการลงทุนในหุ้นไทย มีความเชื่อว่าบริษัทในประเทศไทยยังมีโอกาสที่จะเติบโตได้ และต้องการรับปันผลปีละ 1 ครั้ง ที่สำคัญคือต้องเข้าใจถึงความเสี่ยงในการลงทุนเป็นอย่างดี เพราะขึ้นชื่อว่าเป็นหุ้น อย่างไรก็ต้องมีความผันผวน ไม่ว่าจะมากหรือน้อยก็ตาม
ศึกษากลไกการจ่ายผลตอบแทนให้ถี่ถ้วนก่อนตัดสินใจลงทุน